10/1/2012
จากคำแนะนำของอามดคือ ให้ไปดูทีมทำเรือที่ท้ายบุ่ง ลานเบิ่งฟ้า ผมก็เลยเดินไปที่ริมมูลก่อน เพราะอยากเห็นท่าเรือด้วยตาตัวเอง ฟังเค้าประชุมกันเมื่อวานแล้วนึกภาพไม่ค่อยออกเท่าไร
ช่วงนี้เพื่อนต่างโรงเรียนมีให้เห็นไปกันทั้งสันติฯ ศีรษะฯ ปฐมฯ ผมว่าช่วงนี้ผมมีสัมพันธ์อันดี กับเพื่อนต่างโรงเรียนมากกว่าช่วงค่ายยอส.(ค่ายยุวชนอโศกสัมพันธ์)ซะอีก ถึงจะไม่มากเท่าไรก็เถอะ บางคนอยู่ใกล้ก็ไม่เป็นไร บางคนก็แทบไม่ได้เห็นหน้า แต่บางคนก็ไม่ได้สนิทอะไรกันเท่าไรนัก
ผมเดินช้าๆ เก็บรายละเอียดริมทาง ดอกไม้ ใบหญ้า ก้อนหิน ท้องฟ้า หมู่เมฆ แมลงตัวเล็กๆ ผู้คนที่เดินสวนทางกัน รวมถึง เงาของผมที่ตกทอดไปตามถนน หากสังเกตดีๆ สิ่งเหล่านี้ก็ต่างมีความงาม มีประวัติศาสตร์บนตัวของมันเอง อยู่ที่เรา ว่าจะมองเห็นคุณค่าของสิ่งต่างๆที่รายรอบเราหรือไม่ เท่านั้นเอง
ผมเดินผ่านกุฏิสมณะ ผ่านสวน “สองโภชน์” (เปลี่ยนชื่อมาจาก สวน 100 ปี สาเหตุน่ะหรือ? ก็คือปลูกสักกี่ครั้งก็ไม่ถึง 100 ปีสักที น้องน้ำมาทีไรก็เอาไปกินหมดน่ะสิ) หมู่เมฆขาวล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า บดบังแสงแดด มอบร่มเงาให้แก่ริมมูลในช่วงเวลานี้
เรือกระแชง “แงกเบิ่งแหน่” ลงมาอยู่ริมฝั่งมูลแล้ว ผมหยุดยืนอยู่หน้าสะพาน ก่อนถึงริมมูล มองออกไปไกล ช่างสองสามคนกำลังทำงานป๊อกๆ แป๊กๆ อยู่บนเรือ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับพิธีในวันพรุ่งนี้
พื้นที่บางแห่งยังมีน้ำขังอยู่เป็นหย่อมๆ รถไถแล่นไปตามท้องทุ่ง ไถพรวนดินให้ร่วนซุย เตรียมการลงยอดมันเทศ หญ้าข้างทางเริ่มฟื้นตัว หลังจากจากที่กินแต่น้ำมานาน นับเป็นครั้งแรกในปีนี้ที่ผมมาเยือนริมมูล
ท่าเรือทั้ง 7 ถูกสร้างขึ้นมาอย่างดูดีและเรียบง่าย มีเพียงเสาไม้ที่ปักลึกลงไปใต้น้ำและไม้กระดานที่วางพาดไว้ แต่คงไม่จำเป็นอะไรมากนักสำหรับเรือท้องแบน เพราะสามารถจอดแทบฝั่งแล้วกระโดดขึ้นได้ทันที
ผมเดินกลับมาจากริมมูล มุ่งไปตามทาง สู่ “ลานเบิ่งฟ้า” ระหว่างทางก็มีเรือเอี้ยมจุ๊น (เรือไม้ลำใหญ่ๆ ใหญ่มาก) จอดเกยตื้นอยู่ระหว่างทาง คับถนน ที่ต้องเอามาจอดกลางถนนก็เพราะ เมื่อเรือใหญ่หลายลำมาจอดก็ทำให้ลานเบิ่งฟ้าที่กว้างขวางดู “แคบ” ไปเลยทีเดียว มีเด็กคนหนึ่ง นั่งมองฟ้าอยู่บนกราบเรือ บ้านราชฯ มีงานใหญ่แบบนี้ก็คงหาที่เงียบๆ ยากล่ะนะ อืม.. แต่วันนี้ฟ้าก็สวยจริงๆ แฮะ
ที่ลานเบิ่งฟ้า ทั้งเรือกระแชง เรือเอี้ยมจุ๊น ต่างจอดเรียงกันเป็นแถวเป็นแนว บางลำก็บุโลหะใต้ท้องเรือเสร็จแล้ว บางก็มีวัชพืชขึ้นเต็ม ไม้ผุพังไปตามกาลเวลา ส่องขึ้นไปมองเห็นแสงเล็ดลอดลงมาจากฟ้าได้
เสียงติดเครื่องของเรือท้องแบน ฉุดผมให้วิ่งไปที่ริมตลิ่ง แหวกกอหญ้าออก เห็นเรือหางยาวแล่นแหวกห้วงน้ำ สร้างคลื่นเป็นแนวยาว ตามด้วยเรือท้องแบนทีละลำ สองลำ เพื่อนผมก็อยู่บนนั้นด้วยสองสามคน นี่คงเป็นแค่การซักซ้อมล่ะมั้ง? บางลำไปได้ไม่เท่าไรก็ กลับ บางลำก็ไปไกลสุดลูกหูลูกตา
ผมเดินไปตามทางลาดลงบุ่ง พอมีที่ให้เรือออกไปสู่สายน้ำแม่มูลได้ มีคนมาดูการซ้อมเรือเยอะพอสมควร ทีมนักเรียนปวช. ก็กำลังง่วนอยู่กับการเก็บรายละเอียดและเตรียมเชื้อเพลงสำรองสำหรับเรือท้องแบนอยู่ หน้าตารุ่นพี่แต่ละคนนี่ไร้สง่าราศี บางคนขอบตางี้ดำคล้ำมาแต่ไกล เชียว เพราะอดหลับอดนอน กรำงานหนักในการต่อเรือเดรียมเรือให้ทันวันงาน แต่ก็ยังพอมีรอยยิ้มให้เห็นอยู่บ้างเป็นบางครั้งบางคราว ส่วนคนขับเรือก็ทยอยกันออกไปทีละลำสองลำ
“อ้าว… ทุ่งดิน ไปเรียกน้องๆมาขัดพื้้นเรือหน่อยเร็ว หายไปไหนกันหมดเนี่ย?” เสียงท่านสมณะหินกลั่น(สมณะผู้ดูแล ปวช.) ออกคำสั่งแก่รุ่นพี่ปวช. ปี2 ดูสีหน้าพี่ทุ่งดินก็เครียดๆอยู่บ้างเหมือนกัน
“ที่จริง พวกพี่ก็ไม่ได้อยากมาทำงานดึกๆดื่นๆแบบนี้หรอก ทั้งปี1 ปี2นั่นแหละ มันเหนื่อย ไม่มีเวลาได้พักผ่อนเลย อยากมาร่วมกิจกรรมพร้อมๆกับคนอื่นๆมากกว่า” พี่ทุ่งดินบอก…. “แต่มีข้อเสียมันก็ต้องมีข้อดี เราก็ได้ฝึกไง ฝึกทั้งการทำงาน ฝึกยับยั้งชั่งใจตนเอง บางทีเราอยากพัก ง่วงนอน แต่ก็ทำงานให้เสร็จตามกำหนด โรงเรียนทั่วไปเค้าอาจจะไม่ได้สอนสร้างเรือแบบนี้มั้ง? ได้ฝึกความสาสมัคคีกันด้วย จะมาหลบงาน เอาเปรียบหมู่กลุ่มไม่ได้”
วันนี้แดดแรง มีลมอ่อนๆ ลมและคลื่นก็เป็นอุปสรรคต่อการจัดขบวนและการเดินเรือเหมือนกัน คนขับเรือจะต้องมาประชุมร่วมกันว่าจะแก้ปัญหากันอย่างไร ทำความเข้าใจตกลงกัน เรื่องต่างๆ เช่น สัญลักษณ์สีของธงที่ใช้ในการเดินเรือ การป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ การซ้อมจัดขบวนเรือก่อนที่จะถึงวันงานจริง จำกัดจำนวนคนของเรือแต่ละลำ(นั่งมากเดี๋ยวเรือจม เพราะเรือท้องแบนจะไม่พลิกคว่ำ แต่เมื่อรับน้ำหนักไม่ไหว เรือรั่วน้ำเข้ามาก็จะจมลงไปดื้อๆ เลยล่ะ) มีคนมาช่วยงานเล็กๆน้อยๆ อยู่หลายคน บางคุ้นเคยกันมาก่อนแล้ว บางคนเพิ่งจะ
เคยเห็นหน้า แต่ไม่ว่าจะเห็นหน้ากันมาแล้วหรือเพิ่งจะเคยเห็นก็ตาม เราก็สนิทสนมกันเหมือนญาติสนิท มีรุ่นพี่ในฐานเราคนนึง ถือกล้องติดเรือไปกับเขาด้วย มีคนชวนผมเหมือนกัน แต่ไม่ละ ผมไม่ค่อยสันทัดเรื่องน้ำๆ เรือๆ สักเท่าไร
ความเป็นหนึ่งเดียวของทีมงาน การเรียนรู้ร่วมกัน การทุ่มแรงกายแรงใจ นี่แหละมั้ง? ที่จะทำให้งาน “ธรรมยาตรา นาวาบุญนิยม” ในครั้งนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี
ผมนึกชื่มชมพวกเค้าเหล่านั้น เป็นผมผมคงทำไม่ได้หรอก เชื่อดิ
เดินกลับไปทางเฮือนสุดชีวิต(คนละทางกับทางที่มา) กะว่าจะวนกลับไปอีกเส้นทางหนึ่งสักหน่อย แม้จะเป็นตอนกลางวันแสกๆ ก็ยังดูวังเวงอยู่ดีสำหรับสายตาผม(ผมยิ่งขวัญอ่อนๆ อยู่ซะด้วย)
สักพักก็เดินสวนกับพี่ปวช. ปี1 (ที่ท่านหินกลั่นถามหาแล้วไม่เจอนั่นแหละ) เพื่อนผมคนนึงวิ่งอุ้มลูกแตงโมตามหลังมาติด ผมเหลียวหลังตาม นึกสงสัยว่า “หนีอะไรมาฟระ?” หันกลับมามองข้างหน้าถึงได้ประจักษ์ พ่อท่าน(สมณะโพธิรักษ์)ขับรถพลังงานไฟฟ้าชื่อว่า “ลูกหล่า” มาทางนี้ ท่านปัจฉาสมณะ(สมณะผู้ติดตาม)ก็นั่งมาด้วยกับโยมอีกคนนึง ฝุ่นคลุ้งมาเชียว ผมก้มลงกราบ เพื่อนวิ่งหายลับไปแล้ว เป็นผมก็คงวิ่งหนีเหมือนกัน(เวลาคนเราทำอะไรไม่ดีๆ ก็มักจะหวาดกลัวและหลีกหนีความดี ว่าไหมครับ?)
ผมกลับขึ้นมาที่ชั้น 3 เฮือนศูนย์ ห้องคอมที่ทำงานของผมอีกครั้ง เพื่อนคนเดิมก็วาดการ์ตูนเพื่อขึ้นเว็บไซต์อยู่ วันๆไม่ทำอะไร วาดอยู่ได้ทั้งวี่ทั้งวัน ก็เป็นงานของเค้าล่ะนะ ผมนั่งลงย่อยอารมณ์ ตกผลึกความคิดที่เพิ่งจะได้รับมา เคยเป็นเหมือนผมไหมครับ บางทีคิดออกได้ออกดี แต่พอจะเขียนทีหลังดันลืมซะได้ พอตั้งใจจะเขียนจริงๆ ดันคิดอะไรไม่ออกซะได้ เฮ้อ… แย่จริงแฮะ
เรื่อง : เด็กชายเพียงตะวันพุทธา
ขอขอบคุณรูปภาพจาก ฐานสื่อบุญนิยม